สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 31 ตุลาคม- 6 พฤศจิกายน 2565

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้
1.1) ด้านการผลิต
(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุม
ค่าเช่าที่นา
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน
(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต
(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)
(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ๋ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว
(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)
1.2) ด้านการตลาด
(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า
(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย
3 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ
โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,368 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,328 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.28
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,316 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,207 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.19
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,570 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,700 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.88
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 885 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,246 บาท/ตัน) ราคาลดลง
จากตันละ 904 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,921 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.10 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 675 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,041 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 426 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,985 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 56 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 432 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,229 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 428 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,060 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 169 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 37.5665 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ปรับลดการคาดการณ์สำหรับผลผลิตข้าวในปีการตลาด 2565/66 (มกราคม- ธันวาคม 2566) ลงเล็กน้อยเป็น 5.933 ล้านตันข้าวสาร จากการคาดการณ์อย่างเป็นทางการของ USDA ที่ 5.94
ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากเกิดภาวะน้ำท่วมที่ยืดเยื้อในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งคาดว่าน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อการทำนาในฤดูฝนของปี 2565/66 และทำให้มีการชะลอการขยายพื้นที่ทำนาในพื้นที่ปลูกข้าวหลัก
ทั้งนี้ ภาวะน้ำท่วมครั้งรุนแรงเริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 2565 ทำให้การเพาะปลูกข้าวได้รับผลกระทบและผลผลิตลดลง ซึ่งส่งผลต่อพันธุ์ข้าวระยะสั้นและระยะกลางของกัมพูชา โดยมีรายงานว่า เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 22 จังหวัด
จากทั้งหมด 25 จังหวัดของกัมพูชา ซี่งมากกว่าปี 2564 ที่มีเพียง 9 จังหวัด สำหรับในปี 2565 สถานการณ์น้ำท่วม
มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อจนถึงเดือนธันวาคมนี้ ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวต่างคาดการณ์ว่า ปริมาณผลผลิตทั้งหมดจะลดลงประมาณร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากความเสียหายจากอุทกภัย และจากการประเมินอย่างต่อเนื่องของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries; MAFF) นับจนถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม 2565 ภาวะน้ำาท่วมส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกข้าวประมาณ 1.29 ล้านไร่ โดยมีพื้นที่ได้รับความเสียหายประมาณ 0.53 ล้านไร่ ซึ่งแย่กว่าปี 2564 ถึง 3 เท่า
ภาวะน้ำท่วมที่ยืดเยื้อนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำนาในฤดูฝนในปีการตลาด 2565/66 และทำให้มี
การชะลอการขยายตัวของพื้นที่เพาะปลูกตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ เช่น Banteay Meanchey, Battambang, Kampong Thom, และ Siem Reap ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรคนใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 เพื่อจัดการกับปัญหาน้ำท่วม และดำเนินมาตรการในการจัดหาเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรเพื่อปลูกทดแทนเมื่อน้ำท่วมคลี่คลายลงแล้ว USDA จึงคาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดจะยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา
ในปีการตลาด 2564/65 (มกราคม-ธันวาคม 2565) USDA คาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจากปี 2563/64 โดยคาดว่าจะมีประมาณ 5.771 ล้านตันข้าวสาร
ด้านความต้องการบริโภคข้าว USDA ได้เพิ่มการคาดการณ์การบริโภคข้าวในปีการตลาด 2565/66 เป็น 4.398 ล้านตันข้าวสาร จากการคาดการณ์อย่างเป็นทางการของ USDA ที่ 4.2 ล้านตันข้าวสาร และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.35 ล้านตันข้าวสาร ในปีการตลาด 2564/65
ขณะที่การส่งออกข้าวในปีการตลาด 2565/66 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.49 ล้านตัน ลดลงจากการคาดการณ์อย่างเป็นทางการของ USDA ที่ประมาณ 1.6 ล้านตัน แต่ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2564/65 ที่ระดับ 1.49 ล้านตัน
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีการตลาด 2564/65 (2565) กัมพูชาส่งออกข้าวสารแล้วจำนวน 449,361 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าขนส่งทางเรือ (freight costs) ลดลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ส่งออกได้มีการใช้ประโยชน์จากการยกเลิกการใช้มาตรการป้องกัน (safeguard measures) ของสหภาพยุโรป ซึ่งได้คืนสิทธิพิเศษของกัมพูชาให้เป็นไปตามสิทธิพิเศษทางการค้า EBA ของสหภาพยุโรป ทำให้การส่งออกไปสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทางด้านสถานการณ์ค่าขนส่งทางทะเล (Ocean freight costs) จากกัมพูชาไปยังสหภาพยุโรปสำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ปรับลดลงประมาณร้อยละ 166 จากระดับ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ลงมาเป็น 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม 2565 ส่งผลให้การส่งออกไปยังฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 และเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.65
นอกจากนี้ สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (The Cambodia Rice Federation; CRF) ยังรายงานว่าในช่วง 9 เดือนของ
ปี 2565 (มกราคม-กันยายน) มีการส่งออกข้าวเปลือกไปยังเวียดนามจำนวน 2,357,674 ตัน อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวทางการค้าอื่นๆ รายงานว่ามีการส่งออกน้อยมากที่ประมาณ 983,606 ตัน
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
อินเดีย
ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานข้าวในตลาด ประกอบกับ ค่าเงินรูปีที่แข็งค่าขึ้น โดยราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 375-384 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากตันละ 374-382 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยตลาดกําลังมีความกังวลว่าผลผลิตข้าวในฤดูการผลิต Kharif ที่ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว
อาจได้รับความเสียหายจากฝนที่ตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ (เช่น แคว้น Uttar Pradesh, West Bengal และ Andhra Pradesh) และอาจทำให้คุณภาพของผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวลดลง
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐบาลอินเดียจะอนุญาตให้มีการส่งออกข้าวขาวและข้าวกล้องที่ได้มีการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ที่ออกก่อนวันที่ 9 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออกข้าวของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงต้นเดือนกันยายน 2565
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 รัฐบาลได้ออกมาตรการสั่งห้ามการส่งออกข้าวหัก และกำหนดภาษีในอัตราร้อยละ 20 สำหรับการส่งออกข้าวเกรดต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้าวขาวและข้าวกล้อง เนื่องจากรัฐบาลพยายามเพิ่มอุปทานข้าวภายในประเทศ และแก้ไขปัญหาราคาข้าวในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากในหลายพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญของอินเดียมีปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งส่งผลให้การเพาะปลูกข้าวลดลง และอาจทำให้ผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตหลักลดลงจากปี 2565
การออกมาตรการควบคุมการส่งออกดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ทำให้มีข้าวเกือบ 1 ล้านตัน ติดอยู่ที่ท่าเรือ และบางส่วนอยู่ระหว่างขั้นตอนการส่งออกก่อนที่รัฐบาลจะออกประกาศ
ทางด้าน นาย B.V. Krishna Rao ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าว (president of the Rice Exporters Association) กล่าวว่า นับเป็นความโล่งใจครั้งใหญ่ที่ผู้ส่งออกเรียกร้องมาตลอดช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ระบุในประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ว่า จะอนุญาตให้ส่งออกข้าวขาวจำนวน 600,000 ตัน ไปยังประเทศเนปาล และเมื่อเดือนตุลาคม 2565 รัฐบาลได้อนุญาตให้ส่งออกข้าวหักได้ 397,267 ตัน
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
อินโดนีเซีย
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะสํารองข้าว โดยใช้ผลผลิตข้าวในประเทศและหลีกเลี่ยงการนําเข้า โดยรัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะจัดหาข้าวสํารองประมาณ 1.2 ล้านตัน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายประเทศประมาณร้อยละ 3.9 ภายในสิ้นปีนี้
ปัจจุบันมีสต็อกข้าวสํารองของหน่วยงานจัดซื้ออาหารของรัฐ หรือ Bulog อยู่ที่ประมาณ 700,000 ตัน
โดยอินโดนีเซียจะจัดลำดับความสำคัญในการจัดหาข้าวอีก 500,000 ตัน จากผลผลิตข้าวในประเทศ
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (Indonesia’s statistic office) คาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวสารของอินโดนีเซีย
ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 32.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.29 เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 (ตุลาคม-ธันวาคม) จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 5.9 ล้านตัน
หน่วยงานอาหารแห่งชาติ (the National Food Agency or Bapanas) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาอาหารหลัก 11 ชนิดให้เพียงพอ ซึ่งรวมทั้ง ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง หอมแดง พริก น้ำตาลสำหรับใช้ในครัวเรือน น้ำมันปรุงอาหาร รวมทั้งเนื้อสัตว์ และปลาบางชนิดที่จัดเป็นวัตถุดิบหลักอื่นๆ ซึ่งการเก็บสํารองนี้ คาดว่าจะตอบสนองความต้องการประมาณร้อยละ 5 ของประเทศในปี 2565
ทั้งนี้ มาตรการเก็บสต็อกข้าวสํารองให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการนําเข้าจากต่างประเทศ
อัตราเงินเฟ้อประจำปี (The annual inflation rate) ในเดือนกันยายน 2565 แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
ที่ร้อยละ 5.95 โดยมีอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารผันผวนที่ร้อยละ 9.02 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ต่ำกว่าร้อยละ 5
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.92 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.69 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.37 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.95 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.84 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.40
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.23 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 12.30 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 327.73 ดอลลาร์สหรัฐ (12,320.00 บาท/ตัน)  ลดลงจากตันละ 328.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,352.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 32.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2565 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 686.00 เซนต์ (10,275.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 683.00 เซนต์ (10,240.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 35.00 บาท


 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2566 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 10.127 ล้านไร่ ผลผลิต 34.948 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.451 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีพื้นที่
เก็บเกี่ยว 9.922 ล้านไร่ ผลผลิต 34.007 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.427 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.47 ร้อยละ 2.77 และร้อยละ 0.70 ตามลำดับ โดยเดือนตุลาคม 2565 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.47 ล้านตัน (ร้อยละ 4.20 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2566 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2566 ปริมาณ 20.60 ล้านตัน (ร้อยละ 58.95 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เกิดสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่เร่งเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังก่อนครบอายุ สำหรับบางพื้นที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังได้ ส่งผลให้หัวมันสำปะหลังเน่า หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่เข้าสู่โรงแป้งมันสำปะหลัง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.63 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.60 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.15
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.86 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.83 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.44
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.72 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 8.91 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.13
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.87 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 16.90 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.18
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 260 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,840 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากเฉลี่ยตันละ 263 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9,990 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.14
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 480 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,140 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากเฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,370 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.62


 


ปาล์มน้ำมัน

 


อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ 
  ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
-  ข้อมูลจาก SECEX รายงานว่า ในเดือนตุลาคม บราซิลส่งออกน้ำตาล 3.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีการส่งออกน้ำตาล 1.6 ล้านตัน
ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ทำให้การส่งออกน้ำตาลเดือนมกราคม – ตุลาคม อยู่ที่ 22.5 ล้านตัน ลดลง 0.75% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
- ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า พื้นที่เพาะปลูกอ้อยได้รับผลกระทบจากพายุนาแก หรือที่เรียกว่า Paeng ซึ่งอาจจะมีประกาศฉุกเฉินเพื่อปลดล็อคเงินทุนของรัฐบาล และตรึงราคาสินค้าบางประเภท ขณะเดียวกัน คณะกรรมการวุฒิสภาก็ได้เสนอการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสของกระบวนการนำเข้าน้ำตาลที่สำนักงานกำกับดูแลกิจการน้ำตาล (SRA) แม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะแย้งว่า การเปลี่ยนแปลงจะไม่ช่วยให้ราคาท้องถิ่นลดลง เนื่องจากขณะนี้อุปทานไม่เพียงพอ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาระยะสั้นได้โดยการอนุญาตให้นำเข้าน้ำตาลมากขึ้น



 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 18.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,432.12 เซนต์ (20.00 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,381.08 เซนต์ (19.32 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.70
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 442.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16.05 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 414.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15.79 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.67
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 74.93 เซนต์ (62.76 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 72.33 เซนต์ (60.71 บาท/กก.)  ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.59


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

 

 
ถั่วลิสง

 

 
ฝ้าย

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
        ราคาที่เกษตรกรขายได้
        ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ ไม่มีการรายงานราคา
        ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
        ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนธันวาคม 2565 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 79.19 เซนต์(กิโลกรัมละ 66.24 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 75.93 เซนต์ (กิโลกรัมละ 63.74 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.29 (สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 2.50 บาท)

 
 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,785 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,810 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.38 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,329 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,394 บาทคิดเป็นร้อยละ 4.66 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,008 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  103.99 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 103.88 คิดเป็นร้อยละ 0.11 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.72 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 97.41 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 108.04 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 101.13 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 3,600 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 101.17 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 100.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.67 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 45.24 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 45.22 บาทคิดเป็นร้อยละ 0.04 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 45.72 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 44.16 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 19.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 44.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.14 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.63 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.22 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 346 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 339 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 324 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 356 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 352 บาท ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 3.92 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 391 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 389 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.53 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 404 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 399 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 366 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 423 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 4.55 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 99.57 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 99.38 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.19 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.57 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 100.56 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 92.28 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 109.29 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 82.15 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 81.04 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.37 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 91.75 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 80.30 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน

 
 

 
 

 
ประมง
 
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 6 พฤษจิกายน 2565) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.48 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 58.30 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.18 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 82.35 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 82.45 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.10 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120.00 บาท
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.64 บาท ราคาสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 136.01 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.63 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 141.67 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 140.42 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.25 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น  
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.75 บาท บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 260.00 บาท
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.85 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา